ติดต่อ-สอบถาม 082-478-9162

ระยะเวลาผลตรวจ NAT ในปัจจุบันใช้เวลานานไหม

ระยะเวลาผลตรวจ NAT

ระยะเวลาผลตรวจ NAT การตรวจเอชไอวีในไทย ปัจจุบันมีทั้งหมด 4 ช่องทางหลักๆ ได้แก่ การตรวจเอชไอวีโดยหาแอนติบอดี (Anti-HIV) การตรวจเอชไอวีแบบหาโปรตีนแอนติเจนของเชื้อ (p24 Antigen) การตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อและแอนติเจนของเชื้อเอชไอวีในคราวเดียวกัน และการตรวจ NAT ที่มีเฉพาะในโรงพยาบาล

การตรวจ NAT
การตรวจแนท ภาษาอังกฤษ คือ Nucleic Acid Amplification Testing หรือเรียกย่อๆ ว่า NAT คือ นวัตกรรมใหม่ล่าสุด ในการตรวจหาเชื้อเอชไอวี โดยการตรวจแบบแนทนี้ จะมีความรวดเร็ว ปลอดภัย และแม่นยำมาก สามารถตรวจได้เลย หากรับความเสี่ยง มาแล้วหนึ่งสัปดาห์ ไม่จำเป็นต้องรอ เป็นเดือนอย่างที่ผ่านมา

“แนท” เป็นกระบวนการตรวจ ที่มุ่งหาเชื้อเอชไอวี จึงไม่จำเป็นต้องรอ ให้เชื้อสร้างแอนติบอดี หรือหาแอนติเจนของเชื้อ ซึ่งอาจจะมีความผิดพลาดมากกว่า

ด้วยเหตุนี้ “แนท” จึงเป็นการช่วยให้ ผู้มีความเสี่ยง รู้สถานการณ์ของตนเองตั้งแต่เนิ่นๆ ดูแลตัวเอง และยังยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อ ไปสู่ผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว แต่ข้อเสียคือ ตรวจที่โรงพยาบาลเท่านั้น โดย ระยะเวลาผลตรวจ NAT จะสามารรู้ผลตรวจได้ภายใน 3 วัน

เชื้อเอชไอวี คือ เชื้อไวรัสที่สามารถพัฒนา และกลายเป็นโรคเอดส์ได้ ตอนนี้ยังไม่มีวิธี ที่สามารทำลายเชื้อไวรัสนี้ เพื่อรักษาโรคให้หายได้ แต่ทั้งนี้ก็มียาที่สามารักษา โดยยับยั้งการพัฒนาของเชื้อ เพื่อไม่ให้กลายเป็นเอดส์ได้ หมายความว่า เชื้อจะน้อยลง ไม่เพิ่มจำนวนขึ้น แต่ไม่ได้หมดไป

โรคเอชไอวี รู้จักกันในชื่อว่า HIV ซึ่งย่อมาจากคำว่า Human Immunodeficiency Virus
AIDS ย่อมาจากคำว่า Acquired Immunol Deficiency Syndrome หรือ Acquired Immune Deficiency Syndrome

กระบวนการของเชื้อไวรัสเอชไอวีที่ทำลายชีวิต
เชื้อไวรัสเอชไอวีที่ว่านี้ เมื่อเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์แล้ว จะค่อยๆ เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่เรียกว่า ซีดี 4 (CD4 T cell) ซึ่งเมื่อปล่อยให้ไวรัสทำลายไปเรื่อยๆ ในที่สุด ร่างกายของเราก็จะไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ แม้แต่เชื้อเล็กน้อยๆ ที่ถ้าหากมีภูมิคุ้มกันก็สามารถกำจัดได้โดยที่ร่างกายก็ยังปกติแข็งแรง ซึ่งในระยะนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นระยะเอดส์ แต่ปัจจุบันยาต้านไวรัสที่เราทานกันนี้ ออกฤทธิ์ที่สามารถทำให้ระดับของ ซีดี 4 ไม่ลดต่ำลงได้ ไปพร้อมกับ การรักษาทำลายเชื้อไวรัสให้ลดน้อยลง แสดงว่าผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีทุกคน ไม่จำเป็นจะต้องกลายเป็นเอดส์ หากเข้ารับการรักษา และรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอทุกวัน

ระยะของการติดเชื้อเอชไอวี
การติดเชื้อเอชไอวี ในปัจจุบันอาจสามารถแบ่งแยกได้เป็น 3 ระยะ

ระยะที่ 1
– ระยะเฉียบพลัน ระยะนี้จะเกิดขึ้นได้ หลังจากรับเชื้อมาแล้ว ภายใน 2-4 สัปดาห์ ในช่วงเวลานี้ ผู้ป่วยจะสามารถส่งต่อเชื้อไปให้ผู้อื่นได้ง่ายมากๆ เพราะเป็นช่วงที่เลือดในร่างกายของเรา จะมีเชื้ออยู่เป็นจำนวนมาก อาการในระยะนี้จะคล้ายๆ กับว่ากำลังป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเกิดจากการที่ ระบบภูมิคุ้มกันถูกกระตุ้น ให้ต่อสู่กับเชื้ออย่างรุนแรง โดยเบื้องต้นของอาการป่วยที่จะเกิดขึ้น เช่น มีไข้ มีอาการเจ็บคอ ปวดศีรษะ อาจจะหนาวสั่น อ่อนเพลียมาก ต่อมน้ำเหลืองบวม ปวดกล้ามเนื้อ มีผื่นแดงและนูนที่ผิวหนัง เป็นต้น

ระยะที่ 2
– ระยะอาการสงบ หลังจากที่ผ่านพ้นระยะเฉียบพลันมาแล้ว จู่ๆ อาการที่เราเป็นมาก่อนหน้านี้ก็เข้าสู่โหมดปกติซะงั้น ซึ่งเราจะเข้าใจว่าไม่ได้ป่วยเป็นอะไร ฉันไม่ได้เป็นโรคนี้ แต่คุณอาจจะคิดผิด เพราะระยะนี้ เป็นระยะที่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกาย แต่มีระดับการเพิ่มขึ้นของเชื้ออยู่ในระดับที่ต่ำ ทำให้ไม่ได้มีอาการอะไรแสดงออกมาให้เห็น แต่ก็ยังคงสามารถ แพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้เหมือนเดิมหากไม่มีการป้องกันหรือระวังตัว
– ระยะอาการอันสงบนี้จะอยู่กับเราประมาณ 10 ปี อาจจะเร็วหรือช้ากว่านี้ ขึ้นอยู่กับสุขภาพพื้นฐานของบุคคลว่าแข็งแรงแค่ไหน
– ทั้งนี้ผู้ป่วยสามารถจะรักษาอาการของโรค ให้อยู่ในระยะอาการอันสงบไปตลอดชีวิตได้โดยไม่พัฒนาเป็นเอดส์ หากผู้ป่วยในระยะอาการสงบ เข้ารับการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ เพื่อยับยั้งเชื้อและลดโอกาสที่จะแพร่เชื้อไปสู้ผู้อื่น

ระยะที่ 3
– ระยะเอดส์ เป็นระยะสุดท้ายแล้ว ซึ่งภูมิคุ้มกันถูกทำลายจนสิ้น ไม่สารถต่อสู้กับเชื้อได้อีก เชื้อฉวยโอกาสเข้าสู้ร่างกายได้ง่าย และป่วยเป็นโรคอื่นๆ เสียชีวิตในที่สุด

อย่างไรก็ตามท่านใดที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี ขอแนะนำให้รีบตรวจให้เร็วที่สุด จะไปตรวจที่โรงพยาบาลเองก็ได้ หรือหาซื้อชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง มาตรวจเองที่บ้านก็ได้ เพราะหากรู้แน่ชัดแล้วว่าตนเองอยู่ในสถานการณ์ใด ก็จะได้สามารถดูแลตัวเองได้ทัน

 

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook